วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

LAMBORGHINI RAVANTON

                     LAMBORGHINI REVENTON ROSTER


ประทุนที่เร็วที่สุด แรงที่สุด และแพงที่สุด เท่าที่เคยผลิตมาของ Lamborghini เลยทีเดียว

        โดยคำว่า "Reventon" นั้นเป็นภาษาสเปน ซึ่งอ่านออกเสียงว่า "เรเบนตัน" ซึ่งแปลว่า "การระเบิด" เป้นการตั้งชื่อให้เข้ากับความเป็น "แลมโบกินี" ที่มีโลโก้เป็นรูปวัวกระทิง ที่ดุร้ายมากถึงขั้นขวิดมาทาดอร์ไส้แตกตาย เปรียบเทียบเป็นความดุดันของเจ้ารถคันนี้เป็นอย่างดี ซึ่งตัวถังของมันทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์ ความยามจากหัวถึงหาง 4.7 เมตร ความกว้างจากซ้ายไปขวา 2.1 เมตร ความสูงจากบนลงล่าง 1.1 เมตร ภายในมี 2 ที่นั่ง (รวมคนขับ) ประกอบด้วยเครื่องยนต์ 6.5 ลิตร V12 660 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที อัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (96 กม.ต่อชั่วโมง) ภายใน 3.4 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 205 ไมล์ต่อชั่วโมง (330 กม.ต่อชั่วโมง) มีผลิตออกมาเพียง 20 คัน ราคาประมาณ 1.1 ล้านปอนด์ (61.5 ล้าน บาท)รุ่นคูเป้ของเรเบนตันถูกเปิดตัวครั้งแรกในแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2007 และตลอดปี 2008 ที่ทำตลาด มีการผลิตออกขายจำนวน 21 คัน โดยตัวรถเป็นการดัดแปลงที่อยู่บนพื้นฐานของสปอร์ตรุ่นใหญ่ มูร์ซิเอลาโก LP640 พร้อมกับเปลี่ยนเปลือกตัวถังภายนอกทั้งหมด ด้วยรูปลักษณ์ที่ถอดแบบมาจากเครื่องบินขับไล่ ใครที่สนใจก็เตรียมตัวเตรียมเงินรอท่าเอาไว้ได้เลย เพราะถ้าชักช้ามีหมดแน่ๆ คิดเล่น ๆ ถ้าเข้าไทย เอาเลขกลม ๆ คงมีเฉียด ๆ 200 ล้านบาทใครคิดจะ หารล้อ หารยาง ก็คงต้องคิดหนักกันหน่อยนะครับเพราะว่า 200,000,000 / 365 = 547,945.205 ออกเงิน 547,945.205 ต่อคน และ ได้ขับ ปีละ 1 วันอะนะ
HOT NEWS! :
RELATED NEWS :
HOT NEWS! :
RELATED NEWS :


HOT NEWS! :
RELATED NEWS :

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

 
LAMBORGHINI AVENTADOR LP700-4
ชื่อ Aventador นำมาจากชื่อของวัวกระทิง ที่ได้รับรางวัล Trofeo de la Pena La Madronera ในปี 1993 จากความดุดันในการเป็นนักสู้โดยสายเลือด ส่วนรหัส 700-4 คือจำนวนแรงม้า และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนั่นเอง

 ส่วนจุดเด่นของ Aventador LP700-4 อยู่ที่น้ำหนักตัว ที่เบาเพียง 229.5 กิโลกรัม จากโครงสร้างโมโนค๊อก (Monocoque) คาร์บอนไฟเบอร์โพลิเมอร์ หรือ CFRP ประกอบด้วยอีพ๊อกซี่เพิ่มความแข็งแรง เสริมด้วยอะลูมิเนียมในบางจุดที่เชื่อมต่อกับซับเฟรมด้านหน้าและด้านหลัง
 Aventador จะมาพร้อมเครื่องยนต์ V12 สูบบล๊อคล่าสุด ความจุ 6.5 ลิตร ผลิตกำลังได้สูงถึง 700 แรงม้า ที่ 8,250 รอบ/นาที แรงบิด 70.311 กก.-ม. ที่ 5,500 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. 209 วินาที ความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม. นับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 ของเครื่องยนต์ 12 สูบ ต่อจาก Lamborghini Countach, Diabloและ Murcielago 
 

การวิจัยโครงสร้างด้วยวัสดุคาร์บอนคอมโพสิตที่มีการทำงานร่วมกัน ระหว่างวิศวกรของบริษัทผลิตอากาศยานชั้นนำอย่าง Boeing ทำให้เทคโนโลยีห้องโดยสารแบบกล่องกับเฟรมตัวถัง รวมถึงโครงสร้างทั้งหมดที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ของ Aventador มีความก้าวล้ำกว่าสปอร์ตซุปเปอร์คาร์ที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ส่วนบนของตัวรถ เช่น หลังคาใช้กรรมวิธีการผลิตแบบ Preqreg เพื่อความแข็งแกร่ง ห้องโดยสารขึ้นรูปด้วยกรรมวิธี RTM-Lambo ด้วยการนำเอาแผ่นคาร์บอนเคฟล่าห์มาตัดแล้ววางลงในแม่พิมพ์ให้เป็นรูปร่างที่ ต้องการ โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์มีความแข็งแรงมากกว่าเหล็ก ช่วยปกป้องคนขับและผู้โดยสารหากเกิดการชนปะทะ ชิ้นส่วนโครงรถด้านหน้ายึดติดกับโครงสร้างด้วยอีพ็อกซี่ ส่วนที่เป็นโลหะในชุดโครงสร้างด้านหน้าถูกเชื่ิอมต่อจนเป็นชิ้นเดียวกัน แชสซีส์ขึ้นรูปแบบชิ้นเดียวทนทานต่อสภาวะแรงบิดที่กระทำต่อโครงสร้างของรถ รวมถึงการใช้โช๊คอัพวางแบบแนวนอนหรือ Post Rod Suspension เพื่อลดพื้นที่การวางตำแหน่งของระบบรองรับที่สามารถปรับค่าได้ถึง 3 ระดับ ใช้โช๊คอัพและสปริงของค่าย Ohlins

เครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร วางตำแหน่งเอาไว้ที่กลางลำตัว เป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการพัตนาโดยนำข้อดีของเครื่องรุ่นเก่ามาปรับปรุง ให้ดีขึ้น ทั้งในย่านของกำลังแรงบิดกับขนาดที่กะทัดรัดมากขึ้น รวมถึงน้ำหนักของเครื่องรุ่นใหม่ตัวนี้ก็ยังลดลงถึงกว่า 18 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ของ Murcielago กระบอกสูบทั้ง 12 ตัว ในเครื่องยนต์ของ Aventador วางทำมุม 60 องศา และวางอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าเครื่องตัวเก่า 70 มิลลิเมตร เพื่อลดค่า CG-Center Of Gravity มีรอบการหมุนสูงสุดที่ 8,250 รอบต่อนาที ให้กำลังสูงสุดที่ 690 แรงม้า และมีแรงบิดสูงกว่าเครื่องตัวเก่าของ Murcielago อยู่ถึง 32 ปอนด์-ฟุต (509 ปอนด์-ฟุต) อัตราเร่ง 0-100 ใน 2.9 วินาที ทำงานโดยส่งถ่ายแรงบิดทั้งหมดไปยังชุดเกียร์ 7 สปีดรุ่นใหม่ บนการกระดิกแป้นแพดเดิลหลังพวงมาลัย การไม่เลือกใช้เกียร์แบบทวินคลัตช์ ช่วยให้น้ำหนักและขนาดของเกียร์ทั้งลูกลด ลงรวมถึงตำแหน่งของการวางที่เกียร์ทั้งลูกจะอยู่ด้านหน้าเครื่องยนต์ ทำให้ไม่สามารถเลือกใช้เกียร์แบบคลัตช์คู่ได้ แต่ระบบ ISR หรือ ISR-Indepdent Shiffing Rod ได้เข้ามาทดแทนสมรรถนะของเกียร์ทวินคลัตช์อย่างลงตัวและสมบูรณ์แบบ การใช้ Shift Rod คนละตัวสลับการทำงานในเกียร์ถัดไป ทำให้เกียร์สามารถเริ่มต้นการทำงานในขณะที่เกียร์ก่อนหน้ากำลังจากออกมาจาก ชุดเฟือง ลดเวลาการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ลงอีก 50 ms เร็วกว่าระบบ E-Gear ของรถ Gallardo ประมาณ 40%